ร่วมเดินทางสู่อนาคตกับกันกุล
ร่วมเดินทางไปกับกันกุล ผู้นำด้านพลังงานทดแทนและนวัตกรรมพลังงานสะอาด เพื่อขับเคลื่อนโลกสู่อนาคตที่ยั่งยืน

ข้อมูลทางการเงินที่โดดเด่น
รายได้สำคัญ ปี 2567
(หน่วย : ล้านบาท)

Market Cap.

รายได้รวม

สินทรัพย์รวม

EBITDA
ผลการดำเนินงานที่สำคัญของบริษัท ในปี 2567
กุมภาพันธ์
ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับภาครัฐ (รวม 190.2 MW) กลุ่มบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท กันกุล โซลาร์ พาวเวอร์เจน จํากัด บริษัท กันกุล วัน เอ็นเนอร์ยี 2 จํากัด และ บริษัท กันกุล วัน เอ็นเนอร์ยี 9 จํากัด เข้าลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเป็นระยะเวลา 25 ปี สําหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน และแบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน จำนวน 5 โครงการ รวมกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญา 190.2 เมกะวัตต์ กำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ระหว่างปี 2571–2573
พฤษภาคม
- ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับภาครัฐ (31 MW)
- เสร็จสิ้นโครงการซื้อหุ้นคืนครั้งที่ 3 (280.92 ล้านหุ้น)
กลุ่มบริษัทย่อยได้แก่ บริษัท กันกุล วัน เอ็นเนอร์ยี 9 จำกัด เข้าลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเพิ่มเติม จำนวน 1 โครงการ สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ระยะเวลา 25 ปี กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญา 31.0 เมกะวัตต์
เสร็จสิ้นโครงการซื้อหุ้นคืนครั้งที่ 3 โดยซื้อคืนจำนวน 280,920,000 หุ้น (คิดเป็นร้อยละ 3.16 ของหุ้นทั้งหมด) รวมมูลค่า 771,540,698 บาท
กรกฎาคม
ลงทุนในโครงการพลังงานทดแทน (125.99 ล้านบาท)
บริษัทเข้าดำเนินการซื้อที่ดินจากบุคคล/บริษัทที่เกี่ยวโยงกัน รวม 6 แปลง สำหรับใช้เป็นอาคารคลังสินค้าและโลจิสติกส์ รวมถึงโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ มูลค่าการทำรายการ 125,986,185 บาท
สิงหาคม
จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น (0.08 บาท/หุ้น รวมเป็นเงิน 690 ล้านบาท)
จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรก (1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2567) อัตรา 0.08 บาทต่อหุ้น รวมไม่เกิน 690,000,000 บาท จ่ายเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567
จัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 5,000,000 เยน
พฤศจิกายน
ซื้อหุ้นในบริษัทพลังงานเพิ่มเติม (30.9 MW)
บริษัทซื้อหุ้นสามัญเพิ่มเติมใน บริษัท กันกุล ชูบุ พาวเวอร์เจน จำกัด จำนวน 6 โครงการ รวมกำลังการผลิต จำนวน 30.9 เมกะวัตต์ จาก บริษัท ชูบุ อิเล็คทริค พาวเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล บี.วี. ทำให้บริษัทถือหุ้นเพิ่มจากร้อยละ 51 เป็นร้อยละ 100.00
